chakun

ทำงานหลายอย่างพร้อมกัน งานอาจพังไม่รู้ตัว

Multitasking มีผลกระทบต่อสมอง ในส่วนหนึ่งของงานวิจัยจาก University of Sussex (UK) มีการใช้ MRI สแกนสมองของผู้เข้าทดสอบที่ทำงานแบบ Multitasking แล้วเห็นว่าเกิดจุดขึ้นบริเวณสมองส่วน Anterior Cingulate Cortex (ส่วนหน้าของเปลือกสมอง Cingulate Cortex มีลักษณะคล้ายคอเสื้อ) ที่ควบคุมระบบประสาทอิสระ ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ และที่สำคัญคือการควบคุมอารมณ์ การตัดสินใจ และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ผลวิจัยนั้นสรุปไว้ว่าคนที่ชอบทำงานหลายอย่างพร้อมกัน จะมีความหนาแน่นของสมองส่วนที่ตอบสนองต่อความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและการควบคุมอารมณ์ลดลง ซึ่งนั่นอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ จนอาจเกิดความผิดพลาดมากขึ้นได้ ทำงานพร้อมกันเยอะ ความผิดพลาดก็เยอะตาม เวลาที่เราทำงานแบบ Multitasking และรับข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่งพร้อมกัน เราจะไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานได้อย่างจริงจังเลยสักงาน ทำให้นอกจากจะลดคุณภาพของงานที่เราทำลงแล้ว ยังเพิ่มโอกาสที่งานจะผิดพลาดมากขึ้นด้วย งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Stanford บอกไว้ว่าปัญหาของคนที่ชอบทำหลาย ๆ งานพร้อมกันก็คือจะไม่สามารถแยกแยะข้อมูลซึ่งไม่เกี่ยวข้องออกจากกันได้ นั่นหมายความว่าจะเกิดปัญหาขึ้นทั้งเรื่องของจิตใจและข้อมูลที่ปะปนกันของงานแต่ละงานมากขึ้น ซึ่งถ้าทำงานหนึ่งพลาดไปจะมีผลให้อีกงานได้รับผลกระทบด้วย ความเครียดและกังวลจะตามมา ความเครียดหรือกังวลที่เกิดจากการทำงานแบบ Multitasking มีสาเหตุมาจากทั้งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในแต่ละงาน และการที่สมองผลิต Cortisol หรือฮอร์โมนแห่งความเครียดเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดได้จากการทำงานแบบ […]

9 นิสัยในห้องประชุมที่จะทำให้คุณดูไม่มืออาชีพ

1. รบกวนสมาธิคนอื่น เคาะโต๊ะ ควงปากกา บิดขี้เกียจ หรือ หาวเสียงดัง เหล่านี้ล้วนเป็นพฤติกรรมที่คุณอาจเผลอทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเวลาที่อยู่ในสภาวะตึงเครียด ซึ่งคุณต้องพยายามควบคุมให้ได้ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้อาจจะไปรบกวนสมาธิคนอื่นและทำให้คุณเสียบุคลิกด้วย 2. พูดหลุดประเด็น ในจังหวะที่ทุกคนกำลังประชุมกันตามหัวข้อที่ระบุไว้ใน Agenda คุณกลับชวนคุยเรื่องอื่นซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่ประชุมเลย ซึ่งบางครั้งเจตนาคุณอาจจะแค่ต้องการสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายลง แต่อย่าลืมว่าคนอื่นอาจจะต้องรีบกลับไปทำงาน และเขาคงไม่ยินดีด้วยแน่ ๆ ถ้าคุณมัวแต่พูดเรื่องอื่นที่ทำให้เสียเวลา 3. เคี้ยวหมากฝรั่ง คงไม่ใช่เรื่องดีถ้าระหว่างการประชุมจะมีเสียงเคี้ยวหมากฝรั่งดังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะรบกวนคนอื่นแล้ว การพูดไปเคี้ยวไปยังดูไม่เป็นมืออาชีพอีกด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ คุณรู้สึกอย่างไรเวลาคุยกับคนที่เคี้ยวหมากฝรั่งแล้วน้ำลายกระเด็นใส่คุณ ยิ่งถ้าสิ่งที่เคี้ยวอยู่หลุดออกมาจากปากในระหว่างที่พูดด้วยคงจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว 4. ใช้เวลาพูดมากเกิน เมื่อถึงหัวข้อที่ต้องทำหน้าที่ดำเนินการประชุม ขณะที่พูดคุณจะต้องหมั่นตรวจสอบด้วยว่าคุณเหลือเวลาในการพูดอีกเท่าไหร่ พยายามพูดให้รวบรัดที่สุด หลีกเลี่ยงการอารัมภบท และมุ่งเน้นแต่ประเด็นสำคัญ แต่ถ้าเกิดคิดว่าอย่างไรก็คงไม่ทันแน่นอน อาจจะต้องขออนุญาตที่ประชุมเพื่อขอเวลา หรือยกไปเป็นการประชุมครั้งถัดไป 5. ใช้อารมณ์มากไป เป็นเรื่องปกติที่การประชุมจะมีการถกเถียงกันเกิดขึ้น เพราะทุกคนก็ล้วนต้องการที่จะหาผลสรุปที่ดีที่สุด จนบางครั้งอาจจะทำให้เกิดความไม่พอใจโต้เถียงกันจนเสียความรู้สึกและเสียงานอีก ซึ่งแม้ว่าจะมีคนเห็นต่างกับคุณหรือวิจารณ์คุณต่อหน้าที่ประชุม  พยายามรับมือด้วยสติและตอบโต้ด้วยเหตุผล เพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นมืออาชีพ 6. นัดประชุมนอกเวลางาน หรือใกล้เลิกงาน ถ้าเราเป็นคนนัดประชุม ไม่ควรนัดประชุมนอกเวลาทำงานหรือคาบเกี่ยวว่าจะนอกเวลาทำงาน เช่น เลิกงาน […]

ทำยังไงเมื่อเริ่มงานที่ใหม่แต่กลัวเข้ากับใครไม่ได้

1. ตรงต่อเวลาดีที่สุด การไปทำงานสายในวันแรกของการทำงานคือเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะเรื่องเวลาเข้าและออกงานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พฤติกรรมการมาทำงานเป็นสิ่งที่หัวหน้างานรวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ มองเห็นได้ชัดเจน การมาถึงบริษัทให้ตรงเวลานั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะดียิ่งขึ้นหากเรามาก่อนเวลางานสัก 15-30 นาที รวมไปถึงช่วงพักกลางวัน ก็ควรรักษาเวลาให้เป็นไปตามกฎของบริษัท แม้ว่าบางบริษัทอาจจะไม่เคร่งครัดเรื่องเวลา เพราะการรักษาเวลาไม่เคยให้ผลเสียกับใคร    2. เข้าไปทำความรู้จักก่อนไม่เสียหาย เมื่อไปถึงที่ทำงานแล้วอย่ามัวแต่รอให้คนอื่นมาทัก เราควรแนะนำตัวและทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานก่อนได้เลย เราอาจเริ่มต้นทำความรู้จักคนในแผนก หรือคนที่ต้องทำงานร่วมกันก่อน ทักทายเวลาเจอพวกเขาในที่ต่าง ๆ เข้าไปพูดคุยในช่วงพัก หรือก่อนเริ่มงาน ในกรณีที่บริษัทมีพนักงานเป็นจำนวนมาก เราไม่จำเป็นต้องจำคนในบริษัทให้ได้ทุกคน แต่อย่างน้อยก็ควรพยายามจำชื่อเพื่อนในทีมหรือคนที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรง 3. เรียนรู้ Culture องค์กร รู้จักเพื่อนร่วมงานแล้ว เราก็ต้องรู้จักองค์กรด้วย ไม่ว่าจะเป็นกฏระเบียบ หรือระบบการทำงาน แม้ว่าเราอาจศึกษาวัฒนธรรมของบริษัทมาก่อนแล้วในตอนสัมภาษณ์งาน แต่นั่นเป็นข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทุกบริษัทจะมีวัฒนธรรมองค์กรหรือการปฏิบัติตัวต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เขียนอยู่ในคู่มือพนักงานด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องขวนขวายเรียนรู้เอง ไม่ว่าจะผ่านการพูดคุย สอบถามจากเพื่อนร่วมงาน หรือสังเกตจากการกระทำของพวกเขา  4. อย่าทำตัวเหมือนน้ำเต็มแก้ว ไม่ว่าเราจะเก่งมากจากไหน แต่เมื่อเริ่มงานที่ใหม่ ให้ทำตัวเหมือนแก้วน้ำที่พร้อมรับความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ในวันแรกของการทำงานที่ใหม่ อาจจะได้งานที่ใช้เวลาทำไม่นานก็เสร็จ แต่แทนที่จะนั่งรอหัวหน้าเดินมาสั่งงานต่อไป […]

จัดการความต่างทาง Generation ด้วยเทคนิคการดูแลพนักงาน

เข้าใจความต่างของ Gen คนแต่ละ Gen มีแนวคิด ความชอบ หรือสิ่งที่ต้องการไม่เหมือนกัน เช่น Baby Boomer มีระเบียบวินัยในการทำงาน และให้ความสำคัญกับงานและครอบครัวเป็นอย่างมาก ในขณะที่ Gen X ไม่ชอบความเป็นทางการเท่า Baby Boomer มีแนวคิดสร้างความสมดุลในเรื่องงาน ส่วน Gen Y รักอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทะเยอทะยานและกล้าได้กล้าเสีย และ Gen Z มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีสูง ต้องการความเป็นอิสระในการทำงาน และสามารถทำงาน Multi-tasking ได้ดี การเข้าใจความต้องการของคนแต่ละกลุ่ม จะช่วยให้สามารถหาวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลคนในบริษัทได้ ซึ่ง Hr บางบริษัทจะมีการดูแลพนักงาน Gen ต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน โดยจะมีงบประมาณเท่ากัน แล้วให้ HR หาสวัสดิการหรือวิธีดูแลให้เหมาะกับแต่ละ Gen แต่บางองค์กรที่แยกไม่ได้ หรือมองว่าเป็นเรื่องที่เสียทั้งเวลาและพลังงานก็จะต้องพยายามหาจุดตรงกลางที่ทุกฝ่ายพอใจให้เจอแทน อย่าเอาความต่างมาเป็นปัญหา ถ้าพูดถึง Baby Boomer เราจะนึกถึงภาพของคนที่เคร่งครัดเรื่องระเบียบ ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบ […]

เคล็ดลับสร้างความสุขในแต่ละวันให้เป็นนิสัย

หากเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ลองเปลี่ยนมุมมองของตัวเองดูสิ เริ่มจากความคิดของเราเองเมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกแล้วว่าเรากำลังคิดลบ ก็ให้รีบปรับความคิดใหม่ หากเรื่องนั้นเป็นปัญหา ก็อย่ามัวแต่เสียเวลาไปคิดว่ามันสร้างความทุกข์ให้กับเราขนาดไหน แต่ให้ตั้งสติแล้วหาวิธีว่าจะแก้ไขมันยังไงดีกว่า การปรับเปลี่ยนความคิดของเราอาจจะยากสักหน่อยในช่วงแรก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากจนทำไม่ได้หรอกนะ หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลของมันทั้งนั้น และก็มีหลายมุมให้เราเลือกมอง จากที่มองแต่ในมุมของตัวเอง ลองมองจากมุมที่ต่างไปดูสิ อาจจะเจอเรื่องดี ๆ หรือสิ่งดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ก็ได้ นอกจะทำให้เราสบายใจขึ้นแล้ว ยังทำให้เราสามารถมองสถานการณ์ได้รอบด้านมากขึ้นด้วย เมื่อคิดแล้วทุกข์ ก็หยุดพักมันไว้ก่อน เราสามารถพักเรื่องแย่ ๆ ไว้ได้เสมอ หากเรื่องนั้นทำให้เราเกิดความทุกข์และยังไม่มีวิธีแก้ไข ลองหาอะไรที่ทำให้ตัวเราเองไม่ฟุ้งซ่านอย่างการฟังเพลงโปรด ดูหนัง หรืออ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม เมื่อพร้อมเผชิญกับปัญหาแล้วค่อยกลับไปแก้ไขมันใหม่ ไม่แน่เราอาจจะเจอวิธีแก้ปัญหาที่เราคิดไม่ออกจากการพักความคิดหรือทำกิจกรรมเหล่านี้ก็ได้ แต่เรื่องที่สำคัญเลยคือเราควรกลับไปแก้ปัญหาทุกครั้งหากเรื่องนั้นใกล้ตัวเราจริง ๆ อย่าปล่อยผ่านไปเฉย ๆ เพราะปัญหานั้นอาจลุกลามได้ อยากมีความสุข ก็ต้องสร้างความสุข แม้ว่าในหนึ่งวันเรามีเรื่องที่ต้องจัดการจนทำให้ยุ่งไปทั้งวัน แต่อย่าลืมหาเวลาไปสร้างความสุขให้ตัวเองด้วย อย่างช่วงเช้าก่อนเข้างาน หรือหลังเลิกงาน ซึ่งความสุขเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือเป็นชิ้นเป็นอันเลยด้วยซ้ำ เช่นการทำสิ่งง่าย ๆ ที่เราชอบอย่างการจิบกาแฟช่วงเช้าในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย หรือกินขนมที่คาเฟ่สวย ๆ สักที่ หากเป็นสิ่งที่เราชอบ […]

กระตุ้นการทำงานของคนในทีม ด้วย 5 วิธีที่คนเป็นหัวหน้าควรทำ

เคล็ดลับสำคัญคือความเชื่อมั่นในตัวพนักงาน ในฐานะหัวหน้า เราสามารถสร้างความรู้สึกดี ๆ ทัศนคติ และบรรยากาศดี ๆ ผ่านการบริหารงาน แวดล้อมในการทำงานได้ เราควรเชื่อมั่นกับศักยภาพในทีมของตัวเองที่เราเลือกเขาเข้ามาในทีม รวมทั้งทำให้เขามั่นใจว่าเขามีความสามารถและให้เขารับรู้ว่าเพราะอะไรเราถึงเชื่อมั่นในความสามารถของเขา หมั่นพูดคุยกับคนในทีมว่า ทีมของเราเป็นทีมที่มีศักยภาพมาก ให้เขาเห็นว่าเรามั่นใจและเชื่อมั่นใน ก็จะส่งผลต่อกำลังใจและทำงานได้อย่างเต็มที่ แต่หากทีมสัมผัสได้ว่าเราเอาแต่กังวลว่าพวกเขาจะไม่สามารถทำงานได้สำเร็จตามเป้าหมาย ศักยภาพในการทำงานของทีมก็อาจลดลงได้เช่นกัน หากไม่รู้เป้าหมายก็จะทำงานไปแบบไร้จุดหมาย การตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้สมาชิกในทีมสามารถเดินหน้าต่อได้โดยไม่หลงทาง หากคนในทีมไม่รู้เป้าหมาย ความคาดหวังของหัวหน้าและองค์กร ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ เราควรบอกให้เขาทราบถึงเป้าหมายและมาตรฐานในการวัดผลความสำเร็จที่ชัดเจน คนในทีมควรรู้ว่าหัวหน้าของเขาคาดหวังให้เขาทำอะไร อย่างไร และจะมีการวัดผลการทำงานยังไง จะช่วยให้ทีมลดความสับสนต่อการทำงานในอนาคตได้ การพูดคุยที่ไม่ใช่แค่รอให้พนักงานเดินเข้าไปหา บางครั้งพนักงานจะคิดว่าคนเป็นหัวหน้ามักยุ่งอยู่ตลอดเวลาและไม่กล้าเข้าไปรบกวน การที่เราเดินเข้าไปหาทีมบ้าง เพื่อสอบถามเขาว่ามีปัญหาในการทำงานอะไรไหม อาจจะให้คำแนะนำ คำปรึกษา และกำลังใจก่อนที่เขาจะเอ่ยปากขอ ก็จะทำให้เขาเห็นว่าเราเห็นคุณค่า และให้ความสำคัญกับตัวเขา หรือเวลาที่คนในทีมมีปัญหาและต้องการขอความคิดเห็น ก็อย่าลืมให้เวลาและให้ความสำคัญกับพวกเขาด้วย อย่ารอให้ฟีดแบ็กแค่ช่วงประเมินปลายปีเท่านั้น ไม่ควรรอพูดคุยช่วงปลายปีหากทำดีก็ชื่นชมได้เลย เราควรหมั่นให้ฟีดแบ็กคนในทีมอยู่เสมอและควรทำทันทีเมื่อเห็นว่าเขาทำงานได้ดี หรือมีอะไรที่ควรปรับปรุง นอกจากเราจะสามารถฟีดแบ็กได้ตรงจุดแล้ว เรายังสามารถให้คำแนะนำที่ลงรายละเอียดเพื่อให้ทีมนำไปปรับใช้หรือแก้ไขได้ทันท่วงทีได้อีกด้วย ที่สำคัญอย่าเอาแต่พูดว่า “ทำดีแล้ว” หรือ “พยายามอีกหน่อยนะ” แต่ควรจะลงรายละเอียดเข้าไปอีกหน่อยว่าอะไรคือสิ่งที่เขาทำดีแล้ว และจุดไหนที่เขาควรจะต้องพัฒนาเพิ่มเติม  ชื่นชมและตำหนิอย่างมีศิลปะ คำชม เป็นหนึ่งในกำลังใจและแรงผลักดันให้ทีมอยากทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากขึ้น การชื่นชมเขาในที่สาธารณะ นอกจากจะทำให้คนที่ได้รับคำชมรู้สึกดีที่ได้เห็นว่าผลงานของตัวเองได้รับการยอมรับแล้ว ยังเป็นการช่วยกระตุ้นการทำงานให้กับคนอื่น ๆ ในทีมอีกด้วย แต่กลับกันในกรณีที่คนในทีมทำงานผิดพลาด […]

ต้องอายุเท่าไหร่ถึงควรเลิกเป็นลูกจ้าง

“มนุษย์เงินเดือน” ที่ทำงานในบริษัทเอกชนของไทยมักมีการกำหนดอายุที่ต้องเกษียณจากการทำงานไว้ที่ 55 ปี หรือ 60 ปี ส่วนข้าราชการไทยโดยส่วนใหญ่กำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 60 ปี แต่ความเป็นจริงแล้วยังไม่ต้องรอให้แก่ขนาดนั้นบางคนก็เริ่มเบื่อหน่ายกับการทำงานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลมาจากตัวงานหรือสภาพแวดล้อม จนบางทีอยากรีบ ๆ ลาออกไปทำสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่คำถามคือเราควรตัดสินใจเลิกเป็นลูกจ้างคนอื่นตอนไหนล่ะ? ทำมาก็หลายที่ แต่ไม่เคยได้เลื่อนขั้น ต้องกลับมาทบทวนตัวเองว่าเราเหมาะจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือไม่ เราเหมาะกับการทำงานตามคำสั่งมากน้อยแค่ไหน บางคนบอกตัวเองขยันแต่ถ้าขยันผิดที่ยังไงก็ไม่มีโอกาสโต หรือบางคนการทำงานดีแต่ขาดมนุษย์สัมพันธ์กับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงานก็ยากต่อการโปรโมตเช่นกัน ดังนั้นลองออกมาหาลู่ทางใหม่ ๆ ของตัวเอง บางทีคุณอาจจะเหมาะกับการเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่าลูกจ้างก็ได้ แต่สำหรับคนที่ทำอยู่ในตำแหน่งสูงหรือคิดว่ามีโอกาสเลื่อนขึ้นอีกก็อย่าเพิ่งใจร้อนรีบออก ประสบการณ์การทำงานแน่น Connection เพียบ การออกจากงานถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นก่อนจะลงทุนสิ่งที่ต้องใช้ตัดสินใจคือความรู้และประสบการณ์ ซึ่งประสบการณ์ที่บอกไม่ใช่เรื่องอายุ แต่เป็นความสามารถของเราที่มากพอจะออกไปต่อสู้ รวมไปถึงการทำอะไรด้วยตัวคนเดียวสมัยนี้อาจเป็นเรื่องยาก หากคุณมีคอนเนคชันหรือหุ้นส่วนที่ดีที่มาช่วยเหลือธุรกิจของคุณในด้านที่ไม่ถนัด โดยที่ตัวเราก็ไปโฟกัสกับส่วนที่เราถนัด ธุรกิจของเราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้โดยที่เราไม่ต้องเหนื่อยอยู่คนเดียว ไม่มีหนี้สินก้อนใหญ่หรือภาระครอบครัว ถ้าเราตัวคนเดียว ไม่มีหนี้ก้อนใหญ่ อาจจะลาออกมาได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่ถ้าคุณยังมีหนี้ก้อนใหญ่ก็ควรทำงานประจำที่มีรายได้แน่นอนเพื่อหาเงินใช้หนี้ไปก่อน เพราะถ้าลาออกมาสิ่งที่ต้องเจอคือรายได้ที่ยังไม่แน่นอน รวมไปถึงถ้ายังมีคนข้างหลังที่ต้องดูแล อาจต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น เช่น คุณมีเงินสำรองฉุกเฉินยามเจ็บป่วยทั้งของตัวคุณเองและคนในครอบครัวไหม เงินใช้จ่ายในช่วงที่ว่างงานของคุณและครอบครัวมีเท่าไหร่ และเงินสำหรับลงทุนทำธุรกิจหลังออกจากงาน รวมถึงเรามีเครดิตหรือเงินกู้จากธนาคารหรือแหล่งเงินทุนอื่นหรือไม่ มีธุรกิจรองรับและวางแผนทุกอย่างไว้อย่างดีแล้ว ลาออกเมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจแล้ว และมีแผนที่วางไว้ในอนาคตแบบเป็นรูปเป็นร่าง โดยการวางแผนที่ดีนั้นคือ การวางแผนรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น […]

การใช้ภาษากายในออฟฟิศที่ส่งผลกับการทำงาน

เพราะการสื่อสาร เป็นเหมือนอีกเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการดำรงชีวิตของมนุษย์ มีทั้งการสื่อสารแบบภาษาพูด (วัจนภาษา) แล้ว คนเรายังมักสื่อสารกันโดยผ่าน ภาษากาย (อวัจนภาษา) อีกด้วยโดยที่คนเราก็มักจะใช้การสื่อสารทั้ง 2 แบบนี้ไปควบคู่กัน เพื่อให้การสื่อสารสมบูรณ์ที่สุด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสื่อสารออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะบางครั้งภาษากายที่แสดงออกมา อาจส่งผลต่อบุคลิกภาพของตัวบุคคล โดยเฉพาะคนในวัยทำงาน ที่ต้องสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานรวมถึงบุคคลภายนอกอยู่เสมอ จะต้องรู้จักวิธีควบคุมและวิธีการใช้ภาษากายให้ดี จะมีวิธีอย่างไร เพื่อให้ดูโปรดีนะ? ภาษากายในออฟฟิศ ที่ส่งผลต่อบุคลิกและการทำงาน ในการทำงานนั้น ต้องมีการสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ทั้งการพูดคุย ประสานงาน ไปจนถึงการพูดในที่ประชุม เราจึงจำเป็นต้องระมัดระวังภาษากายบางอย่างที่อาจจะเผลอแสดงออกไปโดยไม่รู้ตัว แล้วมันอาจจะส่งผลต่อภาพลักษณ์และการทำงานของเราได้ ดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” เช่นเดียวกันกับการใช้สายตาช่วยในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพด้วยการ Eye-contact กับผู้ที่สื่อสารด้วยอยู่เสมอ หากเอาแต่ก้มมองพื้น หรือไม่สบตากับผู้ที่เรากำลังสื่อสารด้วยเลย อาจส่งผลให้อีกฝ่ายมองว่าเราเป็นคนไม่มีความมั่นใจ ไม่มืออาชีพ หรือแย่ไปกว่านั้น อีกฝ่ายเขาอาจจะคิดว่าเราไม่อยากคุยด้วย ก็จะทำให้คนอื่นสูญเสียความมั่นใจและอาจส่งผลกับการประสานงานในครั้งต่อ ๆ ไปด้วยนะ ช่วงที่ทุกคนกำลังระมัดระวังตัวกันมากขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จึงควรใส่ใจกับการเว้นระยะห่างให้มากขึ้น จากเดิมที่ปกติ คนเราจะมีการเว้นระยะห่างระหว่างตนเองกับผู้อื่นอยู่ที่ประมาณ 100 ซม. เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดใจขณะสื่อสารกันและง่ายต่อการวางตัวระหว่างกัน  ในระหว่างที่ประสานงานหรือประชุมงานกับอีกฝ่าย หากไม่มีการเว้นระยะห่างให้พอเหมาะ แล้วเข้าไปใกล้ชิดกับอีกฝ่ายมากเกินไป จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน […]

พนักงานอย่างเราควรทำยังไง ให้ร่วมงานกับหัวหน้าคนใหม่ได้อย่างดี

สังเกตว่าหัวหน้าของเรามีนิสัยการทำงานอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้วางแผนการปรับตัวของเราได้ง่ายขึ้น เปิดใจเรียนรู้แนวคิดและการทำงานของหัวหน้าคนใหม่ และเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงฝีมือ โดยไม่ต้องเอาเขาไปเปรียบเทียบกับหัวหน้าคนเก่า คุยกับหัวหน้าให้ชัดเจนถึงความคาดหวังที่เขามีต่อเราและเรากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรในการทำงาน เพื่อจะได้วางแผนการทำงานให้ออกมาดีที่สุด และแสดงให้เขาเห็นว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ เมื่อเขาต้องการความช่วยเหลือ

1 2 3 8